วันพุธที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ปริมาณแลกเปลี่ยนสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว บอกใบ้ว่า มูลค่าหุ้นจะถึงจุดสุดยอด


ปริมาณแลกเปลี่ยนหุ้นมีความสัมพันธ์กับมูลค่าหุ้นอย่างไร? ตอนที่ 2
ปริมาณแลกเปลี่ยนสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว บอกใบ้ว่า มูลค่าหุ้นจะถึงจุดสุดยอด
เมื่อปริมาณหุ้นอยู่กับที่ ไม่เปลี่ยนแปลง คนส่วนใหญ่จะรู้สึกอึกอัด แล้วผู้ที่ถือหุ้นอยู่ในมือก็จะเปิดฉากบอกขายก่อน ทันทีที่ภาวะสมดุลนี้ถูกพังทลายลง บรรดาผู้ขายที่หลับหูหลับตาเชื่อก็จะเฮโลเข้าร่วมตลาดการขาย มูลค่าหุ้นก็จะเริ่มสะท้อนกลับเหมือนกับลูกบอลที่ถูกเตะกลิ้งไปแล้วเด้งกลับมา ทันทีที่มูลค่าหุ้นเริ่มขึ้น ผู้ซื้อที่สงบนิ่งมานานก็จะแย่งกันซื้อหุ้นในราคาที่ถูก ยิ่งมูลค่าหุ้นสูงขึ้นมา คนที่คิดอยากขายก็จะมากขึ้น ทำให้ปริมาณการแลกเปลี่ยนค่อยๆกลับสูงขึ้นมาอีก
ในช่วงเวลาที่มูลค่าหุ้นเริ่มขึ้นนี้ ข้อมูลมูลค่าหุ้นที่เคยถูกมองข้ามก็จะกลับกลายมาเป็นที่สนใจและมีความสำคัญขึ้นมา ทั้งๆที่บางชิ้นก็เป็นข่าวที่ไม่มีคุณค่าทางการค้าอะไรเลย เมื่อข่าวสารข้อมูลเกี่ยวกับการประกอบกิจการที่เจริญรุดหน้าและการพัฒนาเทคโนโลยีมีมากขึ้น ถ้าหากใครซื้อหุ้นไม่ทันก็ย่อมจะรู้สึกว่าขาดทุน พวกนักเล่นหุ้นมืออาชีพหรือคนในวงการมักจะแย่งเข้ามาซื้อหุ้นได้ก่อน ส่วนนักลงทุนทั่วๆไปนั้นกว่าจะเข้ามาซื้อได้ก็ล้าหล้งไปตั้งมากแล้ว ทั้งนี้เพราะพวกเขาตัดสินใจค่อนข้างช้า ผู้ที่ถือหุ้นเอาไว้อยู่แต่เดิมและผู้ที่แย่งซื้อหุ้นมาได้ในระยะแรกก็จะเข้าแถวกันบอกขายหุ้น ทำให้ปริมาณแลกเปลี่ยนหุ้นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ความจริงเมื่อปริมาณแลกเปลี่ยนหุ้นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มันบอกใบ้แสดงว่ามูลค่าหุ้นกำลังจะถึงจุดสุดยอดแล้ว มีคำกล่าวว่า “เวลาตลาดซบเซา อย่าขายหุ้น” แต่มันควรจะมีคำกล่าวในทางตรงกันข้ามว่า “เวลาตลาดคึกคัก อย่าซื้อหุ้น” เหมือนกันด้วยกระมัง! จุดสุดยอดของมูลค่าหุ้นก็คือ สัญญาณบอกโอกาสของการขาย ซื่งจะเห็นได้จากเปลี่ยนแปลงครั้งที่ 2 ของมูลค่าในยามซบเซา ตัวอย่างเช่นในยามตลาดซบเซา ปริมาณการแลกเปลี่ยนมีเพียง 2-3 หมื่นหุ้นต่อวัน ต่อมาเพิ่มมาเป็น 1 แสนและกลายมาเป็น 1 ล้านหุ้น ภาวะที่เร่าร้อนเช่นนี้แหละคือโอกาสดีของการขายหุ้นแล้ว นอกจากนี้แล้วถ้าหากภายใน 1-2 สัปดาห์มีปริมาณการแลกเปลี่ยนหุ้นประจำวันมากๆ โดยยกเว้นหุ้นใหญ่แล้ว นั่นก็ถือเป็นโอกาสของการขายหุ้นแล้วเช่นกัน
ในยามที่ปริมาณการแลกเปลี่ยนเพิ่มขยายขึ้นนั้น จะต้องมีคนซื้อหุ้นเป็นจำนวนมาก คนที่ซื้อหุ้นจำนวนมากๆเหล่านี้ย่อมจะต้องเสียดายในภายหลังแน่นอน เพราะมันจะต้องเป็นการซื้อหุ้นในราคาที่สูง และทันทีที่ซื้อเข้ามา เขาจะต้องตกอยู่ในภาวะตกต่ำอย่างยาวนาน
ควรจะอธิบายเพิ่มเติมอีกนิดหนึ่งว่า มูลค่าหุ้นจะแสดงความเป็น “มูลค่า“ ออกมาได้ก็ต่อเมื่อมันประสานอยู่กับปริมาณแลกเปลี่ยน มูลค่าหุ้นที่ไม่มีการแลกเปลี่ยน ย่อมอยู่ในสภาวะที่ไม่มั่นคง ดังนั้นจึงมีคนถือเอาการเพิ่มปริมาณแลกเปลี่ยนของหุ้นมาเป็นตัวตัดสินระดับมูลค่า ในยามซบเซาหุ้นที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นมาทันทีอย่างพรวดพราด ก็อาจจะหมดมูลค่าไปอย่างรวดเร็วได้เช่นกัน แต่ถ้ามันมีปริมาณการแลกเปลี่ยนสูงตามไปด้วย นั่นก็ยืนยันได้เลยว่ามันเป็นราคาที่แท้จริงของหุ้นอย่างแน่นอน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น